Title : เที่ยวจังหวัด Miyagi ดูการฟื้นฟูเมืองหลังเกิดสึนามิ
Rate this article :
วันที่ 1
บันทึกการเดินทางมายังจังหวัดมิยางิ ดูความเปลี่ยนแปลงหลังจากเกิดสึนามิ 

 
เราเดินทางด้วยสายการบิน ANA มาที่สนามบินนาริตะ จากนั้นก็นั่งสายการบินเที่ยวบินภายในประเทศ (ด้วยเครื่องบินลำที่เล็กกว่า) ไปยังเมืองเซนได 






 
การเช็คอินนั้นทำได้ง่ายมาก เพราะ  ANA มีเค้าเตอร์ของตัวเองอยู่ที่สนามบินเลย ไม่ต้องไปแย่งเช็คอื่นกับสายบินอื่น พอแอดมินเช็คปึ๊บก็เข้าไปในเกตรอขึ้นเครื่องได้เลย 
เราเดินทางถึงสนามบินเซนไดด้วยความราบรื่น แต่ก็มีความหวาดเสียวเล็กน้อย เพราะอากาศแปรปรวน เครื่องบินลำเล็กส่ายๆไปบ้างระหว่างลงจอด แต่ก็แลนดิ้งอย่างสวัสดิภาพ 
เราเริ่มออกสนามบินราวๆ 10 โมง แล้วมุ่งหน้าต่อไปที่เมืองชิโอกะมะ  แวะทาอาหารเช้าที่ร้าน ซูชิเทะสึ ซึ่งเป็นร้านที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้ด้วย 







ศาลเจ้าชิโอะกะมะ
หลังจากอื่มท้องด้วยซูชิหลายรสชาติกันแล้ว เราไปกัต่อที่ศาลเจ้าชิโอะกามะ ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่อยู่บนเนินเขา และมีความศักดิสิทธิ์เรื่องขอลูก
แต่ช่วงนี้อากาศค่อนข้างหนาวและเป็นเวลาทำงาน จึงทำให้ไม่ค่อยเห็น
ผู้คนออกมาเดินเท่าใดนัก 









ร้านเหล้า URAKASUMI
เสร็จจากการเดินเที่ยวชมศาลเจ้าแล้ว เราไปกันต่อที่ร้านเหล้า ร้านเหล้าแห่งนี้ได้รับความเสียหายจากสึนามิด้วยค่ะ ซึ่งในครั้งนั้นทำให้
ตัวร้านและอุปกรณ์เครื่องใช้เสียหายหนักมาก แต่ในที่สุดทางร้านก็ฟื้นฟู และสามารถกลับมาผลิตเหล้าได้ดังเดิมค่ะ 







เหล้าของที่นี่มีรถชาติที่ค่อนข้างแรงค่ะ แอดมินได้แค่ดม แต่กินคงไม่ไหวค่ะ 5555

Matsushima 

 
เมื่อออกจากร้านเหล้า เราก็มุ่งหน้าสู่  Matsushima หรือ เกาะแก่งโขดหินน้อยใหญ่ที่ปกคลุมด้วยต้นสน จนมีวิวทิวทัศน์ที่แปลกตาออกไป และที่ 
Matsushima ยังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสามสถานที่ ที่สวยงามที่
สุดของประเทศญี่ปุ่น หรือ Nihon-sankei ค่ะ 








 
ซึ่งตอนที่ไป เป็นช่วงบ่าย และนั่งเรือล่องไปในอ่าว โดยมีคนขับเรือเป็นผู้บรรยายว่า เกาะแก่งน้อยใหญ่เป็นรูปร่างอะไร บางอันนั้นกคล้าย บางอันแอดมินก็แอบเถียงในใจว่ามันคล้ายตรงไหน 5555
ตกเย็นเราเข้าพักที่โรงแรม ไดคันโซ ซึ่งเป็นโรงแรมสไตล์ญี่ปุ่นนิดๆผสมกับสมัยใหม่  ซึ่งห้องที่แอดมินได้ เป็นห้องที่มองเห็นอ่าวมะสึชิมะได้ทั้งอ่าว ซึ่งสวยงามมากๆค่ะ 

Kesennuma
เราออจากเมือง มะสึชิมะไปที่เมืองเคเซนนุมะค่ะ เมืองนี้ได้รับยความเสียหายหนักมากจากสึนามิ บ้านคนที่เคยมีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น ถูกคลื่นยักษ์กวาดเรียบไปจนดหมดในปี 2011 
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเมืองที่ได้รับความเสียหนักอย่างมากในครั้งนี้่ 




 
หลังจากฟื้นฟูได้ ทางการก็มีมติให้ที่ที่เคยเป็นที่อยู่อาศัย ให้เปลี่ยนเป็นร้านค้า หรือ โรงงาน เพื่อปลอดภัยต่อการอพยพ และครอบครัวไหนที่บ้านได้รับความเสียหาย
ทางการก็มีโครงการแฟลตรัฐบาลสร้างให้อยู่ด้วยค่ะ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่า เมืองได้รับความเสียหายอย่างหนัก จนทำให้ห้างร้านบางส่วนต้องปิดกิจการไปแบบถาวร
แต่ก็ยังนับว่าโชคดีอยู่บ้าง ทีธุรกิจหรือกิจการบางอย่างสามารถกลับมาตั้งร้านได้อีกครั้ง 

ตลาดปลาเคเซนนุมา
ตลาดปลาแห่งนี้ ถือว่าเป็นตลาดแหล่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโทโอคค่ะ ช่วงเวลาที่แอดมินเข้าไปชมตลาดปลาแห่งนี้ เป็นช่วงเช้ามีหิมะตกด้วย 







 
ที่ตลาดแห่งนี้จะมีศูนย์บริการนำเที่ยวของเมืองด้วยค่ะ ซึ่งเจ้าหน้าที่นี่ก็เป็นมิตรมากๆค่ะ เจ้าหน้าที่พาเราเดินตามทางเดินที่อยู่ชั่นสอง
ซึ่งมองเห็นพ่อค้ากำลังประมูลปฃากันอยู่พอดี บรรยากาศก็เหมือนตลาดปลาทั่วๆ แต่ที่นี่จะมีปลาทูน่า ที่จับได้เยอะพอสควร และปลาซาร์ดีนด้วย 

ร้านเหล้า (เคเซนนุมะ)





 
ร้านนี้เป็นทั้งร้านและโรงงานผลิตเหล้าในบริเวณพื้นที่เดียวกัน ซึ่งการทำเหล้าของที่นี่ ทำด้วยวิธีแบบดั้งเดิมผสมกับวิธีทำแบบบสมัยใหม่
เหล้าของที่นี่ทำจาแหล่งน้ำของเมืองที่มีความใสสะอาด และข้าวที่ผลิตที่เมืองนี้เท่านั้น 
นอกจากนี้ยังมีเหล้ารสชาติ ชนิดต่างๆที่คิดค้นมาใหม่ตามฤดูกาล หรือ ทำขึ้นมาให้เหมาะสมกัลประเภทของผู้ดื่มเป็นต้น อย่างเหล้าที่มีแอลฮอลที่มีรสชาติอ่อน
ที่ผลิตมาสำหรับผู้หญิงค่ะ
หลักจากกที่ตระเวณชมเมืองเรียบร้อยแล้ว เราก็มุ่งหน้าสู่โรงแรมที่พักค่ะ 


 
โรงแรมมีชื่อว่า เคเซนนูมะพลาซ่า เป็นโรงแรมที่ภายนอกดูเหมือนโรงแรมทั่วๆไป แต่ว่าภายในตกแต่งแบบญี่ปุ่นค่ะ ตัวห้องอาจจะไม่เท่าไหร่
แต่วิวที่มองออกไปนี่เอาไปร้อยนคะแนนเลยค่ะ เพราะว่ามันดีมาก หิมะตกปรอยๆ มอง
เห็นบ้านเรือนผู้คนเพลิดเพลินไปอีกแบบนะคะ 

วันที่ 3 ของการเดินทาง ส่าหร่ายวากาเมะ และ คาบสมุทรคาราคุวะ

เราเริ่มต้นออกจากโรงแรมกันตั้งแต่เช้าตรู่ จากนั้นไปการเพาะเลี้ยงสาหร่ายวากาเมะ สาหร่ายวากาเมะของที่นี่นั้น นับได้ว่ามีรสชาติที่อร่อย
เนื่องจากอยู่ในส่วนของของมหาสมุทรที่กระแสน้ำจากทางเหนือและทางใต้ไหลมาประทะกัน 
จึงทำให้เกิดการพัดพาสารอาหารมาเลี้ยงสาหร่าย และทำให้สาหร่ายที่นี่เติบโตงอกงามดีมากๆค่ะ 






ออกจากแพเลี้ยงสาหร่าย เรามุ่งหน้าต่อยังคาบสมุทร Karakuwa 
ตอนที่เดินทางมาถึงเป็นช่วงบ่ายพอดี และกาศดีมากๆค่ะ ไม่หนาวจนเกินไป ภูมิทัศน์ของที่นี่น่าตื่นตาตื่นใจมากๆค่ะ ปกติแล้วหากเป็นชายฝั่งทะเล
เราจะคุ้นเคยกับหาดทราย แต่ที่นี่จะเป็นหน้าผาหิน ซึ่งภูมิประเทศอย่างนี้ ไม่ค่อยมีในเมืองไทยเท่าที่นึกออกก็น่าจะเป็นแหลมพรหมเทพ จ.ภูเก็ต 





ตกเย็นเราเข้าพักที่โฮมสเตย์ค่ะ 
ซึ่งบ้านที่เราเข้าพัก เป็นบ้านของชาวบ้านที่เปิดให้บริการเป็นที่พัก เจ้าของบ้านทำกับข้าวเยอะมากๆค่ะ ซึ่งที่เป็นไฮไลท์เลยก็คือ สาห่ายวากาเมะสดๆ ที่เพิ่งเก็บมาจากทะเล
ซึ่งเมื่อเอาใส่น้ำร้อนก็จะเปลี่ยนสีทันทีเเลยค่ะ บ้านที่เราไปพัก เจ้าของบ้านตั้งขื่อบ้านว่า Tsunakan ด้วยความที่เป็นบ้านไม้ การเดินอาจจะต้องระวังนิดนึง เพราะแค่เดินนิดเดียวก็เสียงดังแล้วค่ะ  






 

วันที่ 4 
เราตื่นมาพร้อมกับอากาศที่หนาวมากๆค่ะ ประมาณลบ 1 องศา หิมะตกแต่ไม่หนักเท่าไหร่ 
ตื่นมา ตามประสาคนไทยก็ต้องอาบน้ำ ซึ่งหลายคนที่เป็นต่างชาติ ทำไมอาบน้ำตอนนี้ อ้าวมันชินนี่หน่า 5555
เมื่ออาบน้ำเสร็จเราก็ลงมารับประทานอาหารเช้าที่เจ้าบ้านจัดเตรียมไว้ให้ อาหารเช้าก็เป็นอาหารเบาๆค่ะ 
เมื่อรับประทานอาหาร จัดเก็บข้าวของเรียบร้อย เราก็ลาเจ้าบ้านค่ะ ซึ่งเจ้าบ้านออกมารอส่งเรา โบกธงส่งเรา จนนาทีสุดท้าย ขนาดว่ารถลงมาจาเนินเขา
มองย้อนขึ้นไป เข้าของบ้านยังยืนโบกธงส่งเรา จนหายลิบตาไปเลยค่ะ 


 
เราเริ่มต้นออกเดินทางกันตั้งแต่เเช้า เพื่อที่จะเดินทางกลับเข้าไปในเมืองเซนได 
เราแวะไปโรงเรียนอะระฮะมะ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเปิดการเรียนการสอน แต่ว่าตอนนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว 


 
ในปี 2011 โรงเรียนแห่งนี้ก็ไม่ต่างจากที่อื่นที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์ แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากที่อื่นคือโรงเรียนแห่งนี้
ได้กลายเป็นสถานที่หลบภัย และได้ช่วยชีวิตชาวเมืองไว้ได้ถึง 150 คนเลยทีเดียว คลื่นยักษ์ที่ซัดเข้ามานั้นมีความสูงถึงเกือบ 2 - 3 ชั้น แต่ยังโชคดีว่า ตึกนี้มีความสูงถึง 4 ชั้น
จึงช่วยให้ผู้ที่หนีมาหลบภัยที่อาคารแห่งนี้ รอดตายเกือบทุกคนค่ะ แต่ที่น่าหดหู่คือ แต่ก่อนบริเวณรอบๆโรงเรียน จะมีหมู่บ้านอยู่หนาแน่นมากๆค่ะ







แต่ว่าหลังจากเกิดสึนามิบ้านเเรือนของผู้คนหายไปหมดเลยค่ะ และตอนนี้ก็กลายเป็นทุ่งหญ้าและมีถนนสายใหม่ตัดผ่าน 
ที่น่าสังเกตคือ ถนนตัดใหม่ที่สร้างในเมืองที่เกิดสึนามินั้น จะเป็นถนนที่ยกพื้นสูง ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างให้เป็นสถานที่ที่หลบภัยในเวลาเดียวกันด้วยค่ะ 
เมื่อเยี่ยมชมโรงเรียนเสร็จเราก็เข้ามาที่เมืองเซนได 





แวะทานลินวัวย่างที่ร้าน Kotatsu ซึ่งเป็นร้านที่มีชื่อเสียงของเมืองค่ะ 
ถามว่าอร่อยไหม แอดมินคิดว่าก็อร่อยนะคะ แต่ว่าไม่ได้รู้ฟินมากมายถึงขนาดที่มีคนบอกไว้ 
จากนั้นเราเข้ามาที่เมืองเซนได พักผ่อนเอาแรง แล้วไปเดินเล่นในตัวเมือง 





เมืองเซนไดจะว่าแล้ว เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุเลยก็ว่าได้ค่ะ ซึ่งใหญ่และเจริญไม่แพ้เมืองดังๆของญี่ปุ่นเมืองอื่นเลย หากใครมาที่นี่ 
ไม่ต้องห่วงว่าจะมีอะไรให้ช้อปไหม คือมีแน่ๆ ค่ะ และเยอะด้วย 5555

วันที่ 5 
 
เราออกจากโรงที่พัก มุ่งหน้าสู่ "เนินแห่งความหวัง" หรือภาษาญี่ปุ่นจะเรียกว่า Kibo no Oka ซึ่งสร้างเอาไว้เพื่อเป็นพิพิภัณฑ์และระลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ในขณะเดียวกัน 
ก็เป็นเหมือนสถานที่แห่งความหวังของชาวเมือง ที่นี่มีการเพาะปลูกต้นสนเอาไว้หลายหมื่นต้น แต่ยังไม่เติบโตมากเท่าไหร่ แต่เมื่อใดที่ต้นสนนั้นเติบโต เขาก็จะนำไปปลูกไว้ที่ริมชายฝั่งเหมือนเดิม 
แทนต้นเก่าที่โดนสึนามิค่ะ 







เราออกจากเนินแห่งความหวัง ขับรถชมเมืองไป ถ่ายรูปไป เห็นได้ว่าเมืองเริ่มกลับมาคึกคัก สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยโดนสึนามิ
ตอนนี้ได้กลายเป็นทุ่งหญ้ามีถนนตัดเป็นระเบียบและยกเป็นคันดินสูง การไปชมเมืองในครั้งนี้ถึงแม้ว่า ครึ่งหนึ่งของการเดินทางจะเป็นเรื่องของการทัศนศึกเหตุการณ์ภัยพิบัติ
แต่ว่าเราก็ได้เรียนรู้และได้เห็นความเปลี่ยนแปลง ได้เห็นชาวเมืองกลับมามีรอยยิ้มและบอกเล่าเรื่องราว
ให้เราได้ฟัง แม้จะยังเศร้าและไม่อยากเล่าก็ตาม 
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมเป็นบทเรียน และเราได้จดจำไว้ เพื่อป้องกันการสูญเสียอย่างทันท่วงที 
ขอขอบคุณชาวเมืองผู้เสียสละบอกเล่าเรื่องราว และขอบคุณที่มีรอยยิ้มต้อนรับเราในฐานะแขกที่ไปเยือน 
ส่วนข้อมูลการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ภัยพิบัติ สามารถเข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 
https://bosaikanko.jp/